SEM vs SEO: แตกต่างตรงไหน เลือกอย่างไรให้รุ่ง? [2023 Guide]

SEM vs SEO: แตกต่างตรงไหน เลือกอย่างไรให้รุ่ง? [2023 Guide]

SEM vs SEO: แตกต่างตรงไหน เลือกอย่างไรให้รุ่ง? [2023 Guide]

SEM vs SEO: แตกต่างตรงไหน เลือกอย่างไรให้รุ่ง? [2023 Guide]

Sphere Agency Hero Image

Search Marketing เป็นกลยุทธ์ที่ดีเยี่ยมสำหรับแบรนด์ที่ต้องการดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค และพาธุรกิจเติบโตไปพร้อมๆ กับเว็บไซต์ของบริษัท แต่การตลาดบน Search Engine อาจกลายเป็นเรื่องยาก หากไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่าง SEM กับ SEO ได้


ทั้งสองตัวย่อนี้อาจดูคล้ายคลึงกัน แต่เอาเข้าจริงแต่ละคำนั้นอธิบายรูปแบบการทำ Search Marketing ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อย่างไรก็ดี คนส่วนใหญ่ยังเผลอใช้สองคำนี้สลับกันโดยที่ไม่เข้าใจความเชื่อมโยงและความแตกต่างของทั้งคู่อย่างชัดเจน


บทความนี้เราจะมาดูกันว่าสองอย่างนี้มีข้อแตกต่างกันอย่างไร และเหมือนกันในส่วนไหน และต้องโฟกัสอะไรเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด






Search Marketing คืออะไร?


ก่อนจะพูดถึงสองคำนั้น เรามาทำรู้จักกับสาขาของดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งสาขานี้กันก่อน มาพูดถึงคำจำกัดความของ Search Marketing กัน


Search Marketing หมายถึงกลยุทธ์ที่ช่วยให้แบรนด์ดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคผ่านทางหน้าผลการค้นหา (SERPs) ของ Search Engine โดยในที่นี้หมายถึงความพยายามในการไต่อันดับและขยายขอบเขตการมองเห็นในหน้าผลการค้นหา เพื่อขับเคลื่อนยอด Traffic ที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์หรือ Landing Page ต่าง ๆ


โดย Search Marketing แบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก:


SEO คือการทำ Search Marketing แบบ 'Organic' (ไม่จ่ายเงิน)


SEM คือการทำ Search Marketing แบบ 'Paid' (จ่ายเงิน)


แม้ทั้งสองจะแตกต่างกัน แต่จริง ๆ ก็มีความใกล้เคียงและสัมพันธ์กันในหลายส่วน การประยุกต์ใช้กลยุทธ์ทั้งสองจะเป็นประโยชน์ต่อแผนงานดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งในระยะยาว และที่สำคัญ การทำ SEO นั้นจำเป็นสำหรับการทำ SEM อย่างเต็มประสิทธิภาพ



SEO คือ อะไร?


SEO (Search Engine Optimization) คือกระบวนการดึงดูดผู้ใช้เข้าสู่หน้าเว็บที่ต้องการผ่าน SERPs เพิ่มยอด Traffic แบบ Organic หรือก็คือไม่เสียเงินค่าลงโฆษณานั่นเอง โดยรวม SEO นั้นคือการปรับแต่งให้เว็บไซต์สามารถไต่อันดับสูงๆ ใน Search Engine ได้


บริษัทรับทำ SEO ทั่วไปใช้การสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ ปรับแต่งเว็บไซต์แต่ละหน้าด้วยคีย์เวิร์ดต่างๆ และการสร้าง Backlink เป็นต้น SEO หมายรวมถึงกลยุทธ์อันหลากหลายที่ช่วยให้แบรนด์ไต่อันดับ โดยทั่วไปเราแบ่ง SEO ออกเป็น 3 รูปแบบ


ในบทความก่อนหน้านี้เราได้ลงรายละเอียดของ SEO ไปแล้ว ตามไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่ SEO คืออะไร? และทำไมถึงสำคัญต่อดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง



SEM คือ อะไร?


SEM (Search Engine Marketing) คือ การตั้งแคมเปญ Google Ad และปรับแต่งโฆษณาด้วยคีย์เวิร์ด รวมถึงการตั้งบัดเจตที่สามารถจ่ายเพื่อลงโฆษณา กลยุทธ์นี้มักเรียกอีกอย่างว่า Paid Search Ad หรือ Pay-per-click (PPC) Marketing


อย่างไรก็ตาม การปรับแต่งก็อปปี้ในโฆษณาและการวางเป้าหมายต้องเชื่อมโยงกับคีย์เวิร์ดที่ต้องการ ซึ่งจะช่วยให้โฆษณาของคุณปรากฏบนหน้า SERPs ที่เกี่ยวข้อง เพื่อการนั้น นักการตลาดที่ต้องการทำ SEM ต้องขยับไปแตะงาน SEO ด้วย เพื่อเสริมแกร่งด้าน Keyword Strategy และการผลิตคอนเทนต์คุณภาพ รวมถึงโฆษณาแบบ PPC เพื่อกำหนดเป้าหมายและดึงดูด Traffic

Search Marketing






สิ่งที่เหมือนกันระหว่าง SEM กับ SEO



ทั้งสองเน้นการแสดงลิงก์ในหน้าผลการค้นหา


หนึ่งในเบสิคของทั้งสองคือการตั้งเป้าให้ลิงก์ไปปรากฏที่หน้าแรกเมื่อผู้ใช้ค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่แบรนด์มีมานำเสนอ



ทั้งสองช่วยดึงดูดผู้บริโภคเข้าไปในเว็บไซต์


เป้าหมายของทั้งสองคือทำให้ผู้ใช้มาเห็นในหน้าผลการค้นหา แต่ที่สำคัญคือการดึงให้ผู้ใช้เหล่านั้นเข้าชมเว็บไซต์ เพิ่มยอด Traffic ทั้งสองมีกลยุทธ์ในการเพิ่ม Click-through-rates (CTR) และให้ผู้ใช้คลิกลิงก์ที่ปรากฏใน Search Engine



ทั้งสองล้วนต้องใช้ความเข้าใจในผู้บริโภค


การที่จะประสบความสำเร็จในการทำ Search Marketing ทั้งสองรูปแบบ คุณต้องเข้าใจกลุ่มเป้าหมายอย่างดี คุณสามารถศึกษากลุ่มเป้าหมายด้วย Buyer Persona และ Psychographic Segmentation เพื่อเรียนรู้ความต้องการและสิ่งที่พวกเขาค้นหาจริง ๆ จากนั้นจึงจะสามารถผลิตคอนเทนต์ที่พร้อมเสิร์ฟเมื่อพวกเขาค้นหาสิ่งที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์



ทั้งสองต้องใช้การทำ Keyword Research เพื่อหาคำที่คนนิยม


ขั้นแรกของการทำ Search Marketing คือกระบวนการ Keyword Research เพื่อวิเคราะห์หาคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด ศึกษาทั้งความนิยมของคีย์เวิร์ด และ Keyword Competition เพื่อดูว่าแบรนด์อื่น ๆ นิยมใช้คำไหนกันบ้างเพื่อมาปรับใช้และวิเคราะห์กลยุทธ์ที่จะไปต่อกรกับคู่แข่งในตลาด Search Marketing



ทั้งสองต้องพุ่งเป้าที่คีย์เวิร์ดคำใดคำหนึ่ง


ไม่ว่าจะเป็น SEO หรือ SEM คุณก็ต้องกำหนดคีย์เวิร์ดเป้าหมายที่ได้จากการทำ Keyword Research ก่อนหน้านี้



ทั้งสองต้องทดสอบและปรับแต่งอยู่เสมอ


ไม่มีแบบไหนที่แค่ตั้งทิ้งไว้แล้วปล่อยให้ไหลไปเรื่อย ๆ ได้ ต้องมีการทดสอบประสิทธิภาพ ติดตามผล และปรับแต่งเพื่อให้สดใหม่อยู่เสมอ

The difference between SEO and SEM






ข้อแตกต่างระหว่าง SEM กับ SEO



ผลการค้นหา SEM จะแสดงเป็น 'โฆษณา'


ผลการค้นหาหรือลิงก์ที่ทำผ่าน SEM นั้นจะถูกจำแนกเป็นโฆษณา มีสัญลักษณ์ AD ระบุด้านข้าง ในขณะที่ SEO ที่เป็นแบบ Organic จะไม่มีสัญลักษณ์นั้น



ลิงก์ของ SEM จะมีส่วนขยายโฆษณาเพิ่มเติม


ที่อาจเติมลิงก์อื่น ๆ เบอร์โทรศัพท์ หรือ CTA แบบอื่น ๆ ส่วนลิงก์ของ SEO จะมี Feature Snippet แทน



คุณต้องจ่ายค่าโฆษณาทุกครั้งที่คนกดลิงก์


ฉะนั้นจึงต้องกำหนดงบที่พร้อมจะจ่ายในการรันแคมเปญช่วงใดช่วงหนึ่ง แต่ไม่ต้องเสียอะไรเมื่อคนคลิกลิงก์ SEO แบบ Organic



โฆษณาจะแสดงผลกับกลุ่มเป้าหมายที่ตั้งไว้เท่านั้น


การทำการตลาดจะประสบความสำเร็จได้เมื่อมีการเลือกกลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้อง แต่การกำหนดให้ผลการค้นหาไปปรากฏแบบเฉพาะเจาะจงต่อกลุ่มเป้าหมายกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งนั้นมีแค่ SEM ที่ทำได้ คุณสามารถเลือกกลุ่มผู้ใช้ด้วยตัวกรองต่าง ๆ เช่น อายุ สถานที่ รายได้ พฤติกรรม ฯลฯ แต่สำหรับ SEO จะไม่สามารถเลือกรายละเอียดเหล่านี้ได้



SEM จะแสดงผลได้เลย แต่ SEO ต้องใช้เวลา


ผลการค้นหาแบบ SEM จะไปปรากฏในหน้าผลการค้นหาของผู้ใช้ได้ในทันทีที่เริ่มรันแคมเปญในไม่กี่คลิก และสามารถเลือกเปิด-ปิดแคมเปญได้ตามความเหมาะสม ในขณะที่ผลการค้นหา SEO เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา อาจเป็นเดือนหรือเป็นปีก่อนที่แบรนด์จะสามารถไต่อันดับใน SERP ได้



SEM เหมาะกับการทดสอบมากกว่า


เราสามารถเปิดปิดแคมเปญได้อย่างที่กล่าวไป SEM จึงเหมาะกับการทดลองอะไรใหม่ ๆ คุณสามารถลองเขียนก็อปปี้ใหม่ เจาะกลุ่มเป้าหมายใหม่ หรือเปลี่ยนคอนเทนต์ในหน้า Landing Page เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของกลยุทธ์ที่ปรับใหม่แล้ว ความยืดหยุ่นนี้ทำให้เห็นความแตกต่างของกลยุทธ์ใหม่ ๆ ได้ทันที แต่สำหรับ SEO อาจต้องใช้เวลานานกว่าที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงใดใด



SEO จะมีค่ามากขึ้นตามกาลเวลา


ในขณะที่ SEM นั้นจะมีผลถึงแค่จนกว่าเงินที่ลงไว้จะหมด ทันทีที่หยุดแคมเปญ ผลการค้นหาทั้งหมดก็จะไม่ปรากฏในหน้าจอของผู้ใช้อีกต่อไป แต่ SEO นั้นตรงกันข้าม มันเติบโตและมีผลมากขึ้น ๆ ในระยะยาว



SEO มียอด Click-through rate (CTR) มากกว่า


ในกรณีที่สามารถไต่อันดับสูง ๆ ได้นั่นแหละนะ ผลการค้นหาแบบ Organic อันดันต้น ๆ จะมีค่า CTR สูงที่สุด ฉะนั้นถ้าเว็บไซต์ของคุณสามารถไต่ไปถึงอันดับ 1 ได้ก็มีโอกาสทำกำไรได้เหมือนกัน






ต้องเลือกโฟกัสอะไรมากกว่า?


หลังจากที่รู้แล้วว่าความเหมือนและความแตกต่างของทั้งสองมีอะไรบ้าง ทีนี้จะรู้ได้อย่างไรว่า Search Marketing แบบไหนจะเหมาะสำหรับแบรนด์มากกว่า แน่นอนว่าอย่างที่เราย้ำแล้วย้ำอีกว่าแผนงาน SEM ที่ประสบความสำเร็จต้องมีพื้นฐาน SEO ที่หนาแน่น ฉะนั้นไม่ใช่ว่าอะไรจะดีไปกว่าอีกอย่าง แต่ทางที่ดีที่สุดคือควรทำไปพร้อม ๆ กันทั้งคู่ แต่นั่นอาจไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสมนักสำหรับธุรกิจขนาดเล็กหรือสตาร์ตอัปต่าง ๆ ถ้าต้องเลือกจริง ๆ จะเลือกอย่างไหน ก่อนอื่นต้องตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้ก่อน



1. เป้าหมายคืออะไร?


ก่อนเลือกว่าจะโฟกัส Search Marketing แบบไหน ขั้นแรกต้องกำหนดเป้าหมายก่อน คิดว่าความสำเร็จคืออะไรในความหมายของธุรกิจคุณ น่าแปลกใจที่คนส่วนใหญ่ยังตอบคำถามนี้ไม่ได้


หลาย ๆ แบรนด์เริ่มหันมาทำการตลาดออนไลน์เพราะคิดว่าเป็นช่องทางที่ดีในการโปรโมทสินค้า แต่ถ้าเป้าหมายของแคมเปญไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่แบรนด์ต้องการก็อาจจะกลายเป็นการโยนเงินทิ้งไปก็ได้ ถึงแม้ว่าจะสามารถดึงผู้ใช้ให้เข้าชมเว็บไซต์ได้ แต่ยอด Traffic ที่ได้มานั้นจะไม่มีประโยชน์อะไรถ้าไม่ได้ให้อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ


ถ้าส่วนมากเป้าหมายของแบรนด์คือการสร้าง Brand Awareness และดึง Traffic แต่ไม่จำเป็นต้องสร้างยอดขาย Search Engine Optimization จะเหมาะกับคุณมากกว่า แต่ถ้าต้องทำยอดซื้อขายอย่างด่วนละก็ Search Engine Marketing คือตัวเลือกที่ดีที่สุด



2. ลูกค้าใหม่ 1 คนมีค่าเท่าไร?


ไม่ว่าจะทำการตลาดแบบไหน หากก็เป็นการลงทุนทั้งสิ้น แม้ยอดคลิกแบบ Organic จะดูเหมือน "ฟรี" แต่จริง ๆ ก็ต้องใช้ทุนจำนวนมาก ทั้งเงิน เวลา และแรงกายแรงใจเพื่อให้ได้สักหนึ่งคลิกจาก Search Engine Optimization ฉะนั้น ก่อนจะลงทุนในอะไรสักอย่าง คุณต้องมั่นใจก่อนว่าการลงทุนนั้นจะคุ้มค่า


ลองคำนวณ Lifetime Value หรือมูลค่าตลอดชีพของลูกค้าใหม่ที่จะตอบแทนแบรนด์ และเทียบกับเงินทุนที่ต้องใช้เพื่อรักษาลูกค้าเหล่านั้นไว้ หลักการง่าย ๆ สามารถเริ่มได้จากการคำนวณว่า 100 บาทที่ลงทุนกับ SEM ต้องสร้าง Lifetime Value อย่างน้อย 300 บาท ถ้าทำได้ แคมเปญของคุณจะคืนทุนได้อย่างรวดเร็ว และยิ่งดีขึ้น ๆ ตามกาลเวลา แต่ถ้าคิดว่าไม่สามารถรับผลตอบแทน 3 เท่าจากที่ลงทุน ถ้ากรณีนี้ SEO น่าจะเหมาะสมมากกว่า แม้ว่าผลตอบแทนจะไม่ช้า แต่จะสามารถประหยัดงบประมาณได้มากกว่าในระยะยาว



3. พร้อมทุ่มเงินลงทุนได้เท่าไร?


หลักการที่กล่าวไปข้อข้างต้นนั้นอยู่บนฐานที่ว่าคุณสามารถลงทุนเงินจำนวนมากพอที่จะทำให้แผนการตลาดประสบความสำเร็จ น่าเสียดายที่หลาย ๆ แบรนด์นั้นเริ่มต้นธุรกิจด้วยฝันใหญ่โตแต่มีงบที่จำกัด ซึ่งสองอย่างนี้เมื่อมาอยู่ด้วยกันแล้วก็ดูไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่


โดยทั่วไป งบประมาณการทำ SEO ของธุรกิจขนาดเล็กที่เหมาะสมควรอยู่ที่ประมาณ 1,000-2,000 ดอลลาร์ต่อเดือน ในขณะที่งบของ SEM ที่เหมาะสมอยู่ที่ 7,500 ดอลลาร์ต่อเดือน


คุณอาจประสบความสำเร็จด้วยงบจำกัดขึ้นอยู่กับธุรกิจของแบรนด์คุณ แต่โดยทั่วไปก็จะได้ตอบแทนแค่เท่าที่ลงทุนไปเท่านั้น หากไม่สามารถจ่ายเงินก้อนเพื่อทำโฆษณาให้ดี สุดท้ายก็อาจกลายเป็นการผลาญงบใน Search Marketing ซึ่งเป็นช่องทางการตลาดที่ควรจะให้ผลตอบแทนที่ดี เพียงเพราะไม่สามารถจ่ายได้มากพอ



4. ต้องการเห็นผลเร็วแค่ไหน?


คำถามนี้สำคัญที่สุด เพราะการทำ SEO ให้ประสบผลสำเร็จนั้นใช้เวลานานกว่า อาจหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน ดังนั้น หากมีเวลารอ 3-6 เดือนเพื่อเห็นผลของแคมเปญ SEO จะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าและประหยัดกว่า แต่ว่าถ้าต้องการผลแบบปัจจุบันทันด่วน SEM คือทางที่ใช่ของคุณ ท้ายที่สุดแล้ว นี่คือหัวใจของ Search Engine Marketing เพราะคุณต้อง Pay-to-win


อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีเวลารอให้ผลของ SEO งอกเงย คุณอาจต้องการใช้ SEM เพื่อทดสอบขอบเขตการมองเห็นของแผนงาน SEO ไปพร้อม ๆ กัน หากโฆษณาไม่ให้ผลตอบแทนเท่าที่ควรแล้ว SEO ก็คงไม่ต่างกัน

SEM Performance






แนวทางของเรา: ลงทุนทั้งคู่เลย



โฟกัส SEO ก่อน


SEO จะเป็นพื้นฐานของ SEM ด้วยคอนเทนต์คุณภาพที่ลูกค้าน่าจะได้ประโยชน์ หากไม่มีคอนเทนต์ที่ถูกปรับแต่งสำหรับ SEO การทำ SEM ก็อาจเหมือนเอาเงินไปทิ้ง เนื่องจากเว็บไซต์จะมีคุณภาพต่ำ และทำให้การไต่อันดับใน Search Engine ยิ่งยากขึ้นไปอีก



เมื่อไหร่ที่ควรเริ่มทำ SEM?


หากคุณเพิ่งสร้างเว็บไซต์เสร็จและต้องการเริ่มต่อยอดทาง Search Engine เพื่อส่งเสริมการขายสินค้าหรือบริการละก็ คุณอาจต้องการไปปรากฏในหน้าผลการค้นหาของผู้ใช้ก่อนจนกว่าจะสามารถสร้าง Organic Authority ได้ เพื่อการนี้คุณสามารถใช้แคมเปญ PPC ที่มีระเบียบแบบแผนได้ แต่แน่นอนว่าในระยะยาวคุณไม่สามารถใช้ PPC ได้ตลอดไป ท้ายที่สุดก็ต้องสร้างคอนเทนต์ดี ๆ ที่ผู้ใช้จะเข้ามาอ่านหลังเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์แล้วอยู่ดี


ลองพิจารณาว่าอย่างไหนที่จะตอบโจทย์ในช่วงนั้นมากกว่า แต่ต้องมั่นใจว่าคุณเข้าใจความแตกต่างระหว่างสองอย่างนี้อย่างชัดเจน รวมถึงวางแผนขั้นต่อไปให้ดี






คำถามที่พบบ่อย



Search Engine ยอดนิยม 5 อันดับมีเจ้าไหนบ้าง?


Search Engine 5 อันดับแรกที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลกได้แก่ Google, Bing, Yahoo, Baidu, และ Yandex อ้างอิงจาก Netmarketshare, Statista และ StatCounter



PPC หมายความว่าอะไร?


โมเดล Pay Per Click (PPC) คือการโฆษณาออนไลน์ที่ผู้ลงโฆษณาจ่ายให้กับแพลตฟอร์มทุกครั้งที่มีการคลิกลิงก์โฆษณา เรียกอีกอย่างว่ารูปแบบ Cost Per Click (CPC) รูปแบบการโฆษณาแบบนี้มีให้บริการโดยเสิร์ชเอ็นจิ้นและแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเป็นหลัก



Google Ads จัดเป็น PPC ไหม?


Google Ads คือโซลูชันการโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก (PPC) ของ Google ธุรกิจและเจ้าของเว็บไซต์สามารถเสนอราคาเพื่อแสดงโฆษณาข้างการค้นหาบน Google.com ได้ทันทีเมื่อผู้คนกำลังมองหาสิ่งที่พวกเขาเสนอ



การทำ Search Engine Optimization ต้องเสียเงินไหม?


การทำให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google นั้นทำได้ฟรี และไม่มีใครสามารถจ่ายเงินเพื่ออันดับที่ดีขึ้นได้ เพราะ Google ตั้งมั่นที่จะทำให้เนื้อหาการค้นหามีประโยชน์และน่าเชื่อถือที่สุดสำหรับผู้ใช้



SEO Marketing เรียนรู้ยากไหม?


ตัวการทำ SEO เองอาจง่ายกว่าที่คุณคิด แต่ก็ไม่ควรประมาทเรื่องเวลาที่ต้องเสียและความพยายามที่ต้องใช้เพื่อที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับ อย่าคาดหวังว่าจะไต่อันดับในระดับชาติหากคุณใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีต่อวัน การตลาดดิจิทัลต้องการการวิเคราะห์ประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับ SEO






ต้องการตัวช่วยด้าน Search Marketing Strategy หรือเปล่า?


หากแบรนด์ของคุณต้องการความช่วยเหลือในการเริ่มทำ Search Marketing ทีมงานมืออาชีพที่ Sphere พร้อมให้คำปรึกษาในการปรับแต่งเว็บไซต์ของคุณให้ไต่อันดับท่ามกลางการแข่งขันในตลาด Search Marketing ที่ดุเดือด อ่านรายละเอียดบริการ Google Ads และ บริการ SEO ของเรา และ ติดต่อมาได้เลย

Written By

Sphere Agency team

Apr 25, 2023

Written By

Sphere Agency team

Apr 25, 2023

Written By

Sphere Agency team

May 29, 2023

บริษัทโฆษณา และสตูดิโอผลิตสื่อ สำหรับแบรนด์ที่มุ่งสู่อนาคต

©

2024

 Sphere Agency. All Rights Reserved.

English

|

ไทย

บริษัทโฆษณา และสตูดิโอผลิตสื่อสำหรับแบรนด์ ที่มุ่งสู่อนาคต

©

2024

 Sphere Agency. All Rights Reserved.

English

|

ไทย

บริษัทโฆษณา และสตูดิโอผลิตสื่อ สำหรับแบรนด์ที่มุ่งสู่อนาคต

©

2024

 Sphere Agency. All Rights Reserved.

English

|

ไทย

บริษัทโฆษณา และสตูดิโอผลิตสื่อ สำหรับแบรนด์ที่มุ่งสู่อนาคต

©

2024

 Sphere Agency. All Rights Reserved.

English

|

ไทย