จากสรุปข้อมูลของ invesp และ Hubspot ระบุว่า41% ของนักการตลาดทั่วโลกพบว่า Inbound Marketing นั้นให้ผลตอบแทน ROI ที่เห็นได้ชัดเจน และ 93.7% ระบุว่าเป็นวิธีทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ และผู้ที่คิดว่ามีประสิทธิภาพส่วนใหญ่คือกลุ่มที่ทำมาเกินกว่า 3 ปี โดยมีแนวโน้มว่าต้องใช้เวลามากกว่า 1 ปีจึงจะเห็นผลตอบรับจากการทำ และเรื่องงบประมาณในการทำไม่มีความเกี่ยวข้องกับการประสบความสำเร็จมากนัก ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการทำมากกว่า แต่ถ้าให้งบประมาณที่น้อยจนเกินไปก็อาจจะนำมาสู่ผลลัพธ์ได้ยากเช่นกัน
นั่นแสดงให้เห็นถึงความสำคัญในการทำ Inbound Marketing ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้มันค่อย ๆ สร้างผลลัพธ์ให้เราในระยะยาว โดยที่เราไม่จำเป็นที่จะต้องลงทุนเป็นจำนวนมากเพื่อให้ได้ผลลัพธ์กลับมา ซึ่ง Inbound Marketing นั้นเต็มไปด้วยรายละเอียดปลีกย่อยมากมายในการทำ ในวันนี้เราก็จะพาทุกท่านที่ถูกเรา ดึงดูด เข้ามา ได้ทำความรู้จักกับ Inbound Marketing กัน
Inbound Marketing คือ?
Inbound Marketing การตลาดแบบแรงดึงดูด คือ การทำการตลาดด้วยการสร้างแรงดึงดูดผ่านช่องทางต่าง ๆ เพื่อดึงให้ลูกค้าเข้ามาสนใจในตัวเราผ่านการยินยอมจากลูกค้า ด้วยการที่เราจะส่งมอบ คุณค่า ของเราให้กับลูกค้า เมื่อเรามีคนที่สนใจในตัวเราแล้วเราก็ทำการเปลี่ยนพฤติกรรมของกลุ่มคนเหล่านั้นให้กลายมาเป็นลูกค้าของเรา
Inbound กับ Outbound แตกต่างกันอย่างไรและอันไหนดีกว่ากัน
Outbound Marketing นั้นเป็นขั้วตรงข้ามของ Inbound Marketing เลยก็คือ การตลาดแบบแรงผลัก เป็นการส่งสิ่งที่เราต้องการจะสื่อสารให้ถึงมือผู้รับแบบโดยตรง ซึ่งในระหว่างการส่งสารไปนั้นอาจจะไปขัดจังหวะกิจกรรมบางอย่างหรือส่งไปมากจนเกินไปก็อาจทำให้เกิดการรำคาญได้
เมื่อนำมาเปรียบเทียบกันก็จะเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นไปอีก
Inbound Marketing
เป็นการสื่อสารแบบ Pull คือดึงให้คนเข้ามาสนใจ ผ่านการส่งมอบ คุณค่า ที่ดีให้แก้ผู้คน
สร้าง Content จากการความต้องการของลูกค้า
ลูกค้าได้รับประโยชน์จาก Content ก่อนที่จะได้รับประโยชน์จากสินค้าและบริการต่อ
เป็นการสื่อสารผ่านช่องทางที่ตนเองมีอยู่เป็นส่วนใหญ่ เช่น Website Blog หรือ บัญชี Social Media ของแบรนด์
Outbound Marketing
เป็นการสื่อสารแบบ Push คือผลักสารให้ไปถึงตัวกลุ่มเป้าหมายของเราให้กลุ่มลูกค้าเห็นสินค้าและบริการของเรา
สื่อสารสินค้าและบริการของแบรนด์เป็นหลัก
มีโอกาศที่จะได้ลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายอื่น ๆ ติดมาด้วย
ใช้สื่อที่เข้าถึงผู้คนเป็นจำนวนมาก ๆ เช่น การโฆษณาในรูปแบบต่าง ๆ
แต่จากข้อมูลข้างต้นก็ยังไม่สามารถระบุได้อยู่ดีว่าทำการตลาดแบบไหนดีกว่ากัน ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และรูปแบบของธุรกิจว่าเราควรที่จะเลือกทำการตลาดแบบไหน หรือ เราอาจจะต้องทำทั้งคู่เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดก็ได้
เช่น ถ้าคุณเป็นสินค้าที่เน้นการขายให้ได้เยอะ ๆ หรือเป็นสินค้าทั่วไป ที่เน้นเข้าถึงกลุ่มคนหลาย ๆ กลุ่ม การทำการตลาดแบบ Outbound อาจจะเหมาะสมมากกว่า
แต่ถ้าคุณต้องการทำธุรกิจที่เน้นกำไรและความยั่งยืนในระยะยาว เข้าใจว่าการทำการตลาดบางประเภทจำเป็นที่จะต้องใช้ระยะเวลากว่าจะได้รับผลลัพธ์ หรือเป็นสินค้าที่เป็นเฉพาะกลุ่มหรือ เน้นขายแบบ B2B การทำการตลาดแบบ Inbound ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ
และเทคนิคการทำแบบผสม ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Outbound Marketing ที่สามารถทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักได้ในวงกว้างและรวดเร็ว ขึ้นอยู่กับงบประมาณ มาผสมกับ Inbound Marketing ที่จำเป็นต้องใช้เวลาในการทำแต่ไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณที่สูง
ซึ่งเราจะนำมาผสมกันด้วยการเริ่มทำ Inbound Marketing + Outbound Marketing ไปพร้อม ๆ กันโดยช่วงแรกมีการทำ Outbound Marketing เพื่อเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้และเมื่อ Inbound Marketing เริ่มมีผลลัพธ์ที่ดีให้เห็นก็ทำการปรับลดงบในการทำการตลาดแบบ Outbound ลง เพราะคนส่วนใหญ่รู้จักกับแบรนด์ของเราแล้ว
Framework รูปแบบล่าสุดจาก HubSpot
เมื่อปี 2018 ทาง HubSpot ได้มีการพัฒนารูปแบบ Framework จากแบบ Funnel เป็นแบบ Flywheel เป็นรูปแบบที่เน้นให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และนักการตลาดอย่างเราก็จะวนรอบลูกค้าเป็นวงล้อตามชื่อ Flywheel โดยมีขั้นตอนในการทำ Inbound Marketing ดังนี้
Attract
เป็นขั้นตอนในการดึงดูดคนแปลกหน้าแต่เป็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักให้กลายมาเป็นผู้เข้าชม แต่ต้องเป็นคนแปลกหน้าที่เราคิดไว้แล้วว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายของเรา
ซึ่งมีเครื่องมือต่าง ๆ หลายตัว อาจจะเริ่มจากการเขียน Content ที่น่าสนใจบน Website และทำ SEO ให้ขึ้นอันดับใน Google พร้อมกับทำการโปรโมตผ่าน Social Media ต่าง ๆ และนำไป Re-Targeting ไปทำโฆษณาเพื่อดึงดูดให้เข้ามารับชม Website บ่อย ๆ เพราะกลุ่มคนเหล่านี้อาจจะกลายมาเป็นลูกค้าของคุณ
Engage
ขั้นตอนระหว่างที่กลุ่มคนเข้ามาในเว็บ ไปจนถึงการปิดการขาย เพราะหลังจากที่เราดึงดูดให้คนแปลกหน้าให้กลายเป็นผู้เข้าชมได้แล้ว เราก็ควรจะทำขั้นตอนต่อไปก็คือทำให้ผู้เข้าชมกลายเป็นลูกค้ามุ่งหวัง (Lead) และปิดการขายให้ได้
เช่นการใช้ Form, Call to action Chatbot หรือหน้า Landing Page โดยทั้งหมดทำขึ้นเพื่อเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนจากผู้เข้าชมให้กลายเป็นลูกค้ามุ่งหวังผ่านการกรอกข้อมูลต่าง ๆ ที่คุณต้องการ เช่น ที่อยู่ เบอร์โทร ชื่อ หรืออีเมล
และหลังจากที่เราสามารถเปลี่ยนจากผู้เข้าชมให้มาเป็นลูกค้ามุ่งหวังได้แล้วนั้นเราก็จะใช้เทคนิคต่าง ๆ ค่อย ๆ เก็บข้อมูล ทำความรู้จักกันให้มากขึ้นเพื่อส่งมอบ คุณค่า ของเราให้แก่กลุ่มเหล่านี้ เช่น การใช้ Email Marketing, Marketing Automation, Live chat, Bot chat และ CRM system เก็บข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้า เพื่อเปลี่ยนจากลูกค้ามุ่งหวังให้กลายเป็นลูกค้าที่ซื้อสินค้าและบริการจากแบรนด์ของเรา
ในขั้นตอนนี้เป็นการรวมขั้น Convert และ Close จาก Framework ในแบบแรกของ Hubspot ให้กลายมาเป็นขึ้นตอนเดียวกัน
Delight
หลังจากที่เรามีลูกค้าเราก็ต้องทำการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีมากยิ่งขึ้นเพื่อให้ลูกค้าตกหลุมรักในแบรนด์ของเรา และให้ลูกค้าทำการบอกต่อและเป็นคนโปรโมตให้กับแบรนด์ของเราอีกทางหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการคอมเมนต์พูดคุยกับแบรนด์ การบอกต่อ รีวิวสินค้าและบริการ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดีต่อแบรนด์มาก ๆ เพราะคนเรามักจะเชื่อคำพูดของคนที่รู้จักหรือใกล้ชิดมากกว่าสิ่งที่แบรนด์สื่อสาร
เช่น การแสดงความขอบคุณ ตอบโต้กับลูกค้า บนหน้าต่าง ๆ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อลูกค้า และสร้าง Smart content สื่อสารกับลูกค้าในแบบที่แตกต่างไปจากกลุ่มผู้เข้าชม หรือ ลูกค้ามุ่งหวัง เพื่อให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกพิเศษ
การทำแบบสอบถาม แบบสำรวจ เพื่อสำรวจความพึงพอใจในสินค้าและบริการเพื่อนำมาปรับปรุงให้กับแบรนด์ของเราตรงกับความต้องการมากที่สุดหรือรู้สิ่งที่ทำให้ลูกค้าเลือกซื้อสินค้าและบริการของเราเพื่อนำมาพัฒนาให้ดีมากขึ้น
ซึ่งหมายความว่าเราต้องทำ Delight ไปเรื่อย ๆ จนทำให้ลูกค้ากลับเข้าสู่ ระดับ Attract อีกครั้งและทำตามขั้นตอนวนกันเป็นวงล้อ ทำให้ลูกค้าเก่ามีโอกาสที่จะกลายมาเป็นลูกค้าคนใหม่อีกครั้ง
ข้อดีและข้อเสีย
ข้อดีของ Inbound Marketing
เป็นรูปแบบการตลาดที่ใช้งบประมาณในการทำไม่สูงมาก และเมื่อทำการตลาดแบบ Inbound ไปซักระยะหนึ่งปริมาณของลูกค้าก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าเราจะยังใช้งบประมาณเท่าเดิมก็ตาม
ดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกันเข้ามา เนื่องจาก แบรนด์ของเราไม่ได้ทำการยัดเยียดสินค้าของเราให้กับลูกค้า แต่เป็นฝั่งของลูกค้าที่เป็นคนเข้ามาหาแบรนด์ของเราทำให้มีโอกาศที่จะปิดการขายได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
สามารถสร้างกลุ่มแฟนคลับและทำให้กลุ่มแฟนคลับเเหนียวแน่นมากยิ่งขึ้นผ่านขึ้นตอน Delight ที่ทำให้กลุ่มลูกค้ามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อแบรนด์และกลายเป็นกลุ่มแฟนคลับที่จะคอยปกป้องและบอกต่อแบรนด์ให้กับคนอื่น ๆ
มีช่องทางในการสื่อสารเป็นของตัวเอง สามารถเตรียมพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต
ข้อเสียของ Inbound Marketing
ต้องดูแลช่องทางต่าง ๆ อยู่ตลอด เพราะ เราจำเป็นที่จะต้องมี Website ในการดึงดูดให้คนเข้ามา และการมีเว็บไซต์เป็นของแบรนด์เองนั้นก็มีค่าใช้จ่ายในการดูแลต่าง ๆ
ใช้ระยะเวลาที่นาน คุณอาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการทำมากกว่า 6 เดือน ไปจนถึง 1 ปี เพื่อที่จะได้เห็นผลลัพธ์ของคุณ แต่หลังจากนั้นจะเป็น Traffic ที่ได้รับมาฟรี ๆ จากการทำ SEO ของเรา
การติดอันดับได้ ต้องมีคอนเทนต์มีมีคุณภาพ เพราะการทำ SEO นั้นจำเป็นที่จะต้องศึกษาวิธีการทำ เทคนิคต่าง ๆ และมีการอัพเดตข้อมูลอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในบางบริษัทไม่ได้มีทีมคอนเทนต์สำหรับการเขียน Blog ก็จะทำให้ยากขึ้นไปอีกระดับ แต่ว่าก็คุ้มค่าที่จะทำ
การตลาดแบบนี้เหมาะกับใคร
จากการที่การทำการตลาดแบบ Inbound เป็นการดึงดูผู้คนให้เขามาสนใจในแบรนด์และส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้า ดังนั้น จึงต้องเป็นธุรกิจที่มีรูปแบบ high involvement ที่ทำให้ลูกค้าต้องมีการหาข้อมูลก่อนที่จะทำการซื้อสินค้าหรือบริการสักอย่างหนึ่ง เพราะถ้าเป็นสินค้าแบบ Low involvement ตัวลูกค้าไม่จำเป็นที่จะต้องหาข้อมูลก่อนที่จะซื้อมากนักเพียงแค่ซื้อตามอารมณ์ เช่น ของกินที่ตลาดนัด โดยธุรกิจแบบ High high involvement ที่เหมาะสมกับ Inbound Marketing 3 รูปแบบดังนี้
เป็นธุรกิจแบบ Business to Business
เป็นธุรกิจที่แก้ปัญหาให้ผู้คน
เป็นธุรกิจที่มีมูลค่าสูง
คำถามที่พบบ่อย
Inbound Marketing มีประเภทไหนบ้าง?
การตลาดแบบ Inbound Marketing มีหลายรูปแบบที่สามารถใช้เพื่อสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์และดึงดูดธุรกิจใหม่—Content Marketing บล็อก, อีเวนต์, Search Engine Optimization (SEO), โซเชียลมีเดีย และอื่น ๆ
Inbound กับ Content Marketing ต่างกันอย่างไร?
จุดโฟกัสหลักของ Inbound Marketing คือการส่งเสริมให้ลูกค้าดำเนินการต่าง ๆ เช่น สอบถาม ซื้อสินค้า หรือกรอกแบบฟอร์ม ส่วน Content Marketing มุ่งเน้นไปที่การสร้างและแจกจ่ายเนื้อหาในหลายช่องทางโดยเฉพาะ
หลักการ Inbound ห้าประการคืออะไร?
5 Principles of Inbound Marketing มีดังนี้: Standardize, Contextualize, Optimize, Personalize และ Empathize (S.C.O.P.E).
Email Marketing เป็น Inbound หรือ Outbound?
การตลาดผ่าน Email Marketing ควรเป็น Inbound เป็นหลักและเสริมด้วย Outbound แบบดั้งเดิมมากขึ้น ตามหลักการทั่วไปอัตราส่วนที่เหมาะสมของขาเข้าและขาออกอาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับธุรกิจและฐานลูกค้าของคุณ
Facebook เป็น Inbound หรือ Outbound?
ส่วนมาก Facebook Ads จะเป็น Outbound Marketing ซึ่งผู้โฆษณาส่งข้อความของพวกเขาออกไปหาลูกค้า ส่วน Inbound Marketing ก็ยังทำงานได้ดีเช่นกัน โดยเปิดให้ลูกค้ามาหาคุณและสร้างความสัมพันธ์ด้วยเนื้อหาที่ตอบโจทย์พวกเขา
ตัวอย่างของ Outbound Marketing มีอะไรบ้าง?
ตัวอย่างของ Outbound Marketing ได้แก่ โฆษณาทางทีวีและวิทยุ การตลาดทางโทรศัพท์ แบนเนอร์และโฆษณาแบบดิสเพลย์ ป้ายโฆษณา โฆษณาในหนังสือพิมพ์และนิตยสาร Cold-call ป๊อปอัปและป๊อปอันเดอร์
ต้องการตัวช่วยในการทำ Inbound Marketing หรือเปล่า?
หากธุรกิจเป็นหนึ่งใน 3 รูปแบบด้านบนและกำลังคุณต้องการผู้ช่วยในการทำ Inbound Marketing ทีมงาน Sphere Agency พร้อมช่วยคุณในการวางแผนและสร้างสรรค์คอนเทนต์ให้ออกมาโดนใจลูกค้าของคุณ เพื่อดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาในเว็บไซต์ของคุณมากยิ่งขึ้นและเปลี่ยนเขาให้กลายมาเป็นลูกค้าของคุณ ดูรายละเอียด Content Marketing และ ติดต่อเรา มาได้เลย!