วิธีการทำ SEO ฉบับมือใหม่ ปูพื้นฐานมั่นใจให้เว็บไซต์ติดอันดับ

A laptop is sitting on a desk next to a cup of coffee, showcasing basic SEO techniques for website ranking.A laptop is sitting on a desk next to a cup of coffee, showcasing basic SEO techniques for website ranking.

สัปดาห์ที่แล้ว ในบทความ SEO คืออะไร? และทำไมถึงสำคัญต่อดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง เราได้คุยกันว่า SEO คืออะไร รวมถึงอธิบายวิธีการทำงานของ Search Engines ไปอย่างคร่าว ๆ รีแคปสั้น ๆ SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization และ การทำ SEO คือ วิธีทางการตลาดดิจิทัลเพื่อเพิ่ม Traffic ตามกลุ่มเป้าหมายเข้ามายังหน้าเว็บไซต์ผ่าน Google ว่าง่าย ๆ คือการทำให้เว็บของคุณติดหน้าแรกและไต่อันดับในหน้าผลการค้นหา (บางที่เรียก SERP) บริษัทรับทำ SEO ใช้วิธีการสร้างคอนเทนต์คุณภาพสูงที่มีคีย์เวิร์ดเป้าหมาย ปรับเสริมเติมแต่งเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ และการสร้าง Backlink ซึ่งจะขออธิบายในภายหลัง

เว็บไซต์ในไทยหลายเจ้ายังมีความรู้เกี่ยวกับ SEO ไม่มากเท่าตลาดต่างประเทศ ดังนั้นการมีพื้นฐานที่ถูกต้องก็น่าจะพาคุณไปได้ไกลพอตัวในตลาด SEO เมืองไทย

วันนี้เราจะมาเรียนรู้พื้นฐานวิธี การ ทำ SEO ไปพร้อมกันครับ

ทำความรู้จักลูกค้า

ก่อนจะเริ่มพูดถึงเรื่องยาก ๆ เรามาเริ่มกันที่องค์ประกอบการตลาดที่ถือว่าเป็นเบสิคแต่ก็มีความสำคัญอย่างมาก นั่นคือการทำ Customer Research

Customer Research จะปูทางให้เราสามารถทำการวิจัยการตลาดเพื่อทำ SEO อย่างละเอียดมากขึ้นในภายหลัง เชื่อว่าคุณผู้อ่านบางท่านที่เป็นเจ้าของธุรกิจน่าจะมีภาพลูกค้าในหัวที่ชัดเจนระดับหนึ่งอยู่แล้ว ภาพนี้เราเรียกอีกอย่างได้ว่า Customer Persona

Persona นี้จะเป็นเพื่อนในจินตนาการที่จะนำทางให้เราเห็นว่ากลุ่มลูกค้ามีความต้องการ รู้สึก และทำอะไรจากสิ่งนั้น ใน Persona จะแสดงข้อมูลพื้นฐานอย่างช่วงอายุ เพศ สถานะทางการเงิน ความสนใจ Pain point หรืออุปสรรคในชีวิต รวมถึงเป้าหมายในการใช้ชีวิตของกลุ่มเป้าหมาย

Customer Persona เป็นเครื่องมือสำคัญมากสำหรับทั้ง Digital Marketing และ การทำ SEO การมี Persona ที่ชัดเจนไม่เพียงแต่ช่วยคุณสร้างผลิตภัณฑ์ตามที่ลูกค้าต้องการ แต่ยังทำให้รู้ว่าพวกเขาพิมพ์อะไรเวลาค้นหาสินค้าเหล่านั้น

หาคีย์เวิร์ดที่ใช่

เมื่อรู้แล้วว่าลูกค้าคือใครและต้องการอะไร ขั้นตอนต่อไปของการทำ SEO คือ Keyword Research โดยเป็นขั้นตอนที่เราจะค้นหาคำหรือประโยคที่คนใช้ค้นหาใน Google (เรียกอีกอย่างว่า Search Query) โดยส่วนมากจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท

อย่างแรกคือ Product Keyword คือคีย์เวิร์ดที่คนใช้เพื่อเจาะจงค้นหาสินค้าสักชิ้น เช่น "หม้อทอดไร้น้ำมัน shopee" ส่วน Informational Keyword คือคีย์เวิร์ดที่ใช้หาข้อมูลอื่น ๆ ที่อาจเกี่ยวข้องแต่ไม่เจาะจงเพื่อค้นหาสินค้า เช่น "สูตรอาหาร หม้อทอดไร้น้ำมัน"

การปรับแต่งเว็บไซต์โดยยึดคีย์เวิร์ดทั้งสองประเภทจะช่วยให้เว็บของคุณไปปรากฎบนผลการค้นหาได้มากขึ้น ไม่ว่าลูกค้าจะค้นหาสินค้าโดยตรงหรือโดยอ้อม ก็มีโอกาสไปอยู่บนหน้า SERP ของเขาได้เช่นกัน

เครื่องมือสำหรับการทำ Keyword Research นั้นมีอยู่หลากหลาย หากคุณทำโฆษณาใน Google Ads อยู่แล้ว ลองใช้เครื่องมือ Google Keyword Planner แต่ถ้าไม่ ก็ยังมีเครื่องมืออื่น ๆ ให้ได้ลองใช้เช่นกัน เช่น Ahrefs หรือ Ubersuggest เครื่องมือบางตัวสามารถใช้ได้ฟรี ลองเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมกันดูครับ

Long-tail Keywords

หากคุณเพิ่งก้าวเข้าสู่สังเวียน SEO แนะนำให้เริ่มเน้นที่ Long-tail Keyword ก่อน โดย Long-tail Keyword คือ Search Query ที่มีตั้งแต่ 3 คำขึ้นไป อาจเป็น "วิธีทำชีสเค้กญี่ปุ่นนุ่มเด้ง" แทนที่จะเป็นแค่ "สูตรชีสเค้ก" 

คีย์เวิร์ดยาว ๆ เหล่านี้มักมีปริมาณ Search Volume ต่อเดือนที่น้อยกว่า แต่ขณะเดียวกันการแข่งขันก็จะน้อยกว่าคีย์เวิร์ดสั้นเช่นกัน

สำหรับวิธีหา Long-tail Keyword ง่าย ๆ ทำได้ด้วยฟีเจอร์ Google Autocomplete นั่นเอง เชื่อว่าหลายคนใช้ฟีเจอร์นี้อยู่ทุกวันโดยไม่ทันได้เอะใจ เมื่อเราพิมพ์อะไรลงในกล่องค้นหาของ Google จะขึ้นคำแนะนำเพื่อให้คุณหาสิ่งที่ต้องการได้ง่ายขึ้น หรืออีกวิธีคือเลื่อนลงไปด้านล่างหน้า SERP ซึ่ง Google เองก็จะแนะนำคีย์เวิร์ดที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่ค้นหามาให้ด้วย ลองจดคำแนะนำเหล่านี้เอาไว้ใช้ในภายหลัง

วิธีการทำ SEO

ปรับแต่งเว็บไซต์

ถ้าจะให้ง่าย แนะนำให้เริ่มทำ SEO ตั้งแต่แรกเริ่ม เพื่อให้สามารถสร้างเว็บไซต์ได้จากหน้าเปล่าและสามารถปรับแต่งให้ตรงตามมาตรฐานของ Google ตั้งแต่แรกเลย หรือถ้าคุณมีเว็บไซต์เก่าที่ไม่ได้อัปเดตมานาน นี่ก็เป็นโอกาสดีที่จะแปลงโฉมเว็บไซต์คุณใหม่ เพื่อให้ตอบโจทย์กลยุทธ์ การทำ SEO เพื่อธุรกิจคุณ

On-page SEO หรือ การทำ SEO ภายในเว็บไซต์ด้วยการกระจายคีย์เวิร์ดในองค์ประกอบต่าง ๆ ของหน้าเพจ เช่น HTML Tag ต่าง ๆ ช่วยให้ Search Engine หาคีย์เวิร์ดในหน้านั้นได้ง่ายขึ้น แต่ขอเตือนให้ระวังอย่าใช้คำเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมาบ่อยจนเกินไปครับ

มาเริ่มจากเครื่องมือจัดการ HTML Tag กันก่อน หากเว็บไซต์ของคุณทำงานบนระบบ WordPress เหมือนเรา ขอแนะนำให้ติดตั้งปลั๊กอิน SEOPress ที่จะช่วยให้สามารถปรับแต่งแท็กต่าง ๆ ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น หากติดตั้งเสร็จแล้ว เรามาทำความรู้จักกับ HTML Tag ที่สำคัญ ๆ กันดีกว่า

1. Title Tag

Title Tag ใช้สำหรับปรับแต่งคำพาดหัวที่เราเห็นในหน้าผลการค้นหา เรียกได้ว่าเป็นแท็กที่สำคัญที่สุดของการทำ SEO เลยก็ว่าได้ Title Tag นี้เป็นตัวช่วยสรุปใจความสำคัญของหน้าเว็บไซต์นั้น และช่วยให้ Google รู้ว่าหน้านั้นเกี่ยวกับคีย์เวิร์ดอะไร ควรเขียนแท็กนี้ให้มีความน่าสนใจมากพอที่จะดึงให้ผู้ใช้คลิกลิงก์เข้ามาในเพจของเรา ฉะนั้นสมดุลระหว่างการทำ SEO และประสบการณ์การใช้งานที่ดีคือสิ่งสำคัญของแท็กนี้

Title Tag นี้ควรมีความยาวไม่เกิน 50-60 ตัวอักษร เพราะ Google จะตัดส่วนที่เกินออก การเขียน Title Tag ควรเขียนให้มีคีย์เวิร์ดที่เราโฟกัส พร้อมข้อมูลหรือประเด็นสำคัญ ๆ ไว้ในลิมิตนั้น โดยมีก็อปปี้ที่เร้าอารมณ์และดึงดูดใจมากพอด้วย

2. Meta Description

Description ที่ว่านี้จะปรากฎเป็นคำโปรยใต้พาดหัวในหน้าผลการค้นหา แม้ว่า Google จะเคยระบุไว้ว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับแท็กในการจัดอันดับนี้มากนักและสามารถเว้นไว้ได้เลย แต่อย่างไรก็ยังเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สร้างความน่าดึงดูดและเพิ่มอัตรา Click-through ได้มากขึ้นอยู่ดี

เช่นเดียวกับ Title Tag ตัว Meta description นี้ควรเขียนให้กระชับและชัดเจนภายในลิมิต 150-160 ตัวอักษร บางครั้งการเขียนก็อปปี้ดี ๆ ที่โฟกัส Long-tail Keyword หรือหลายคีย์เวิร์ดพร้อมกันก็อาจไม่ใช่เรื่องง่าย ในกรณีนี้เราสามารถเว้น Meta Description ไว้ และ Google จะสแกนหน้าเพจและเติมคำโปรยด้วยการดึงโควทมาให้เอง

3. Header Tags (H1-H6)

การมีหัวข้อที่ชัดเจนทำให้หน้าเพจอ่านง่ายทั้งต่อผู้อ่านที่เป็นคนและ Search Engine ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่อ่านบทความแบบข้าม ๆ สแกนหน้าเว็บจนกว่าจะเจอพาร์ทที่สนใจ อ่านพาร์ทนั้นนิดหน่อย และกดออก

ถ้าหากไม่มี Header ในบทความ ข้อความยาวเหยียดก็อาจทำให้หลายคนกดออกตั้งแต่ยังไม่เริ่มอ่าน ฉะนั้นจากมุมมองของผู้ใช้ Header จะทำหน้าที่เป็นตัวช่วยให้อ่านบทความง่ายขึ้น ส่วนมุมมองของ Search Engine คือช่วยให้ Crawler Bot ทำความเข้าใจหน้าเพจนั้นว่าเกี่ยวกับอะไร

และนี่คือ หลักการทำ SEO Header Tags ที่ดี

อย่าใช้ H1 Tag เกินหนึ่งครั้ง - H1 เป็นเหมือนชื่อเรื่องหรือหัวข้อบทความที่ปรากฎในเว็บไซต์ ซึ่งต่างกับ Title Tag ที่ปรากฎในหน้า SERP ฉะนั้น Google จึงให้ความสำคัญกับสองแท็กนี้เท่า ๆ กัน

พยายามไม่ลงลึกเกิน - ไม่ควรลงไปลึกเกิน H3 เว้นแต่กรณีที่จำเป็นจริง ๆ แนะนำว่าให้ใช้ H1 สำหรับชื่อเรื่อง H2 สำหรับหัวข้อหลัก และ H3 สำหรับหัวข้อย่อย

เชื่อมโยง Header กับ Search Query - Header Tag แต่ละตัวควรมีความใกล้เคียงกับ Search Query หรือเป็นคำตอบของคำถามนั้น และไม่ลืมใส่คีย์เวิร์ดลงไปด้วย

4. Image Alt Text

จุดประสงค์ของ Image Alt Text คือช่วยในการจัดระเบียบรูปภาพในเว็บไซต์ของคุณ และช่วยให้ผู้ใช้รู้ว่าภาพนี้เกี่ยวกับอะไรแม้ในกรณีที่ดูภาพนั้นไม่ได้ หากมีองค์ประกอบในไหนเว็บไซต์ที่เป็นไฟล์ภาพ ก็ควรเติม Image Alt Text ให้ครบทุกครั้ง

เขียนสักประโยคสองประโยคเพื่ออธิบายภาพของคุณ พยายามให้แต่ละภาพแตกต่างกันไปโดยการระบุรายละเอียดเล็ก ๆ เพิ่มเติม เช่น สี วัสดุ รูปทรง เป็นต้น และเช่นเคย ไม่ควรยัดคีย์เวิร์ดซ้ำ ๆ ซึ่งเหมือนเป็นหลักการจำง่าย ๆ ในการเขียนคอนเทนต์ SEO ไปแล้ว

หากกลัวว่าจะตกหล่นไฟล์ไหนในหน้าเพจ เราแนะนำเครื่องมือ WebSite Auditor ในการสแกนเว็บไซต์และรวบรวมรายชื่อไฟล์ที่ขาด Alt Text ได้อย่างง่ายดาย

ทำ SEO

สร้างคอนเทนต์ให้โดนใจ

การสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่ดีพร้อมกระจายคีย์เวิร์ดอย่างทั่ว ๆ จะช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับใน Search Engine ได้ง่ายขึ้น คีย์เวิร์ดที่ได้มาจาก Keyword Research ก่อนหน้านี้จะได้เฉิดฉาย

การเขียนบทความในบล็อกเป็นวิธีหนึ่งในการช่วยดึงอันดับให้สูงขึ้น จากการศึกษาของ Hubspot ระบุว่าเว็บไซต์ที่เผยแพร่คอนเทนต์อย่างสม่ำเสมอมียอดเข้าชมมากกว่าถึง 350% ฉะนั้นการมีแต่หน้าแสดงสินค้าหลาย ๆ หน้าไม่ช่วยใน การทำ SEO เท่าบทความคุณภาพสูงสักบทความ การจะเขียนบทความให้สำเร็จ บทความนั้นต้องดีและโดดเด่นไม่จมหายไปในหลายล้านคอนเทนต์ที่เผยแพร่ในแต่ละวัน

บล็อกโพสต์คุณภาพมาในหลายรูปแบบ มาดูตัวอย่างและวิธีทำให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดของโพสต์แต่ละประเภทกัน

ไกด์แบบ Step-by-step น่าจะเป็นประเภทบทความที่ใช้สำหรับ SEO อย่างแพร่หลายที่สุด และมันได้ผลด้วยสิ หากจะเขียนไกด์ประเภทนี้ก็ควรทำให้ละเอียดที่สุดเท่าที่ทำได้ไปเลย เติมเต็มข้อมูลที่เว็บไซต์อื่นให้ไม่ได้ ยิ่งละเอียดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีโอกาสได้ Backlinks มากยิ่งขึ้น

Complete List คือบทความที่รวบรวมทิป ไอเท็ม เทคนิค สูตรอาหาร หรืออะไรก็ตามที่อยากพูดถึง รายชื่อนี้มีประสิทธิภาพมากเพราะเป็นการรวบรวมจากหลายแหล่งและมาโชว์รวมกันในโพสต์เดียว ทำให้เราสามารถโชว์ทุกอย่างที่ลูกค้าต้องการเห็นได้ในที่เดียว

คอนเทนต์ข้อมูลเชิงปริมาณมีแนวโน้มที่จะโดดเด่นจากประเภทอื่นในยุค 2023 BuzzSumo ค้นพบว่างานวิจัยที่น่าเชื่อถือและคอนเทนต์อ้างอิงยังมีแนวโน้มได้ Backlink เพิ่มมากขึ้น แม้ในตอนที่ทำการศึกษานี้เป็นช่วงปี 2015 ที่คอนเทนต์ผุดขึ้นทั่วโลกอินเตอร์เน็ต งานวิจัยต้นแบบที่มีข้อมูลเชิงปริมาณมักได้ Backlink มาก และยังทำให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นได้อีกเมื่อสร้าง Infographic เพื่อช่วยในการอธิบายข้อมูลเชิงปริมาณนั้นออกมาเป็นภาพที่เข้าใจง่าย

หลักการทำ SEO

สรุปพื้นฐานหลักการทำ SEO

สำหรับมือใหม่ในโลก SEO เราเชื่อว่ากุญแจสู่ความสำเร็จคือการรู้ว่าลูกค้าของคุณคือใคร คีย์เวิร์ดอะไรที่เขาใช้ค้นหา และสร้างสรรค์คอนเทนต์และปรับแต่งเว็บไซต์โดยอิงจากคีย์เวิร์ดเหล่านั้น แม้ว่าหนทางของการทำ SEO ยังทอดไปอีกยาวไกลและมีรายละเอียดต้องครอบคลุมอีกมาก แต่เราเชื่อว่าหากมีพื้นฐานที่ดีเท่านี้ก็น่าจะเริ่มต้นก้าวสู่สังเวียน SEO ได้อย่างมั่นใจ

คำถามที่พบบ่อย

SEO คืออะไร และทำงานอย่างไร?

Search Engine Optimization (SEO) คือกระบวนการในการทำให้เว็บไซต์หรือเนื้อหาไต่อันดับสูงขึ้นบน Search Engine เกี่ยวข้องกับการนำเนื้อหาออนไลน์มาแสดงในที่ที่เหมาะสม เพื่อให้แสดงผลใน Google Search เมื่อมีคนค้นหาบางสิ่งด้วย Keyword ที่ระบุ

ฉันสามารถทำ SEO ด้วยตัวเองได้ไหม?

คำตอบคือได้ คุณสามารถทำการตลาด SEO ได้ด้วยตัวเอง เช่นเดียวกับการตลาดออนไลน์รูปแบบอื่น ๆ ทุกคนสามารถเรียนรู้วิธีการทำ SEO สำหรับธุรกิจของตัวเองหากมีการค้นคว้าหาความรู้และการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ

การทำ SEO ต้องเสียเงินไหม?

การทำให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google นั้นทำได้ฟรี และไม่มีใครสามารถจ่ายเงินเพื่ออันดับที่ดีขึ้นได้ เพราะ Google ตั้งมั่นที่จะทำให้เนื้อหาการค้นหามีประโยชน์และน่าเชื่อถือที่สุดสำหรับผู้ใช้

SEO Marketing เรียนรู้ยากไหม?

ตัวการทำ SEO เองอาจง่ายกว่าที่คุณคิด แต่ก็ไม่ควรประมาทเรื่องเวลาที่ต้องเสียและความพยายามที่ต้องใช้เพื่อที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับ อย่าคาดหวังว่าเว็บไซต์หรือหน้าเพจของคุณจะติดอันดับในเวลารวดเร็วหากคุณใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีต่อวัน การตลาดดิจิทัลต้องการการวิเคราะห์ประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับ SEO

Search Engine 3 ประเภทมีอะไรบ้าง?

Search Engine ในปัจจุบันแบ่งออกเป็นสามประเภทตามวิธีการทำงาน ได้แก่:

  • Crawler based search engines.
  • Human powered directories.
  • Hybrid search engines.
  • Other special search engines.

Search Engine ยอดนิยม 5 อันดับมีเจ้าไหนบ้าง?

Search Engine 5 อันดับแรกที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลกได้แก่ Google, Bing, Yahoo, Baidu, และ Yandex อ้างอิงจาก Netmarketshare, Statista และ StatCounter

ต้องการตัวช่วยใน การทำ SEO ใช่ไหม?

หากแบรนด์ของคุณต้องการความช่วยเหลือใน การทำ SEO Marketing ทีมงานมืออาชีพที่ Sphere พร้อมให้คำปรึกษาในการปรับแต่งเว็บไซต์ของคุณให้ไต่อันดับท่ามกลางการแข่งขันในตลาด Search Marketing ที่ดุเดือด อ่านรายละเอียดบริการ SEO ของเรา และ ติดต่อมาได้เลย

แชร์บทความนี้: 
โดย Yaya Adam วันที่ เมษายน 25, 2023

เกี่ยวกับเรา

Sphere Agency คือดิจิทัลเอเจนซี่ใจกลางกรุงเทพฯ ที่ช่วยให้แบรนด์สานความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น สร้างคุณค่าและความประทับใจกับกลุ่มลูกค้ายุคดิจิทัลที่เชื่อมต่อกันอย่างไม่หยุดนิ่ง เราให้บริการครบวงจรโดยแตกยอดจากอินไซต์ เพื่อหากลยุทธ์ที่เหมาะสมกับแบรนด์ของคุณในโลกที่พร้อมเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site is protected by reCAPTCHA and the Google Privacy Policy and Terms of Service apply.

All our secret for free!

Joining this list will be your best decision ever. We send monthly emails with insights, stats, case-studies and hacks for getting more traffic and conversions.
Newsletter Subscription
X